วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556


                        ประโยชน์จากโยเกิร์ต


โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก

เวลา ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย 

โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ 

โยเกิร์ต ไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 
โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านม ธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ 
จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่าง กายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ 

แคลเซียม สูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย 

ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก 
เพิ่มภูมิ ต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดี ขึ้น
รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง. 

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

แหล่งอ้างอิง   http://www.mookfood.com/eat/eat14.asp





                                      เคล็ดลับอาหารเป็นยา

กระเจี๊ี็๊ํ์ํัััีัั๋ยบแดงกับพุทราจีน

ส่วนผสม
กระเจี๊ยบแดง 1 ขีด
พุทราจีนแห้ง
 2 ขีด
น้ำตาลทรายเล็กน้อย


 
วิธีทำอาหารเป็นยา
ล้างกระเจี๊ยบแดงให้สะอาด ใส่ในหม้อใบใหญ่ ใส่น้ำสะอาดประมาณ 4 ลิตร ล้่างพุทราจีนให้สะอาด
บีบให้แตก ใส่ลงไป ต้มเคี่ยวให้เดือดประมาณครี่งชั่วโมง ยกลง ใช้ดื่มแทนน้ำ

สรรพคุณ

-ช่วยลดอาการของหัวใจโต (หัวใจโตมาจากปัญหาของเยื่อหุ้มหัวใจ)
หัวใจโตเพราะในเลือดมีโซเดียมฟอสเฟตน้อย แ่ต่มีโปรแตสเซีนมฟอสเฟตมาก
ให้งดกินผลไม้สดทุกชนิด กินได้เฉพาะผลไม้ดอง ผลไม้แช่น้ำผึ้ง ไม่กินอาหารที่ผัด
หรือทอดด้วยน้ำมันพืช
- ป้องกันเส้นเลือดในสมองเปราะ
- ลดความดันโลหิตสูง
- ลดไขมันใสเส้นเลือด ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดตีบ
- แก้อาการสมองเสื่อม
- ชาปลายนิ้ว


แหล่งอ้างอิง


การฝึกโยคะ...มีประโยชน์มากกว่าที่คิด


โยคะแต่ละท่ามีผลต่อร่างกายแตกต่างกันไป การฝึกโยคะบางท่ามีผลช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
บางท่าช่วยบำบัดรักษาอาการป่วยจากโรคกระเพาะและอีกนานาสารพัดโรคซึ่งต้องฝึกปฏิบัติเป็นประจำเท่านั้นจึงจะได้ผลดี
 
 
หากจะกล่าวถึงผลดีที่จะได้จากการฝึกโยคะก็พอจะยกมาเป็นตัวอย่างได้ดังต่อไปนี้              
• ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี
• ทำให้การเคลื่อนไหวสง่างามทุกท่วงท่าช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี
• สมองปลอดโปร่งเพราะมีโลหิตไปหล่อเลี้ยงช่วยให้ต่อมต่างๆทำงานได้ดีเพราะได้รับการกระตุ้น เช่น ต่อมไทรอยด์ต่อมพาราไทรอยด์ช่วยกระตุ้นให้
• ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น
• ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆกระตุ้นเซลล์ทั่วร่างกายให้สดชื่นแจ่มใสและมีชีวิตชีวา
• บำบัดรักษาอาการเจ็บไข้ไม่สบายอันเกิดจากโรคต่างๆ เช่น โรคทางจิตประสาทโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระเพาะอาหาร
• ช่วยบริหารปอด และหัวใจให้แข็งแรงช่วยลดไขมันเฉพาะส่วน
• ทำให้น้ำหนักคงที่ถ้าฝึกเป็นประจำ และมีการควบคุมอาหารที่ถูกต้องช่วยลดความเรียด
• ทำให้นอนหลับสบายรักษาโรคริดสีดวงทวารกำจัดอาการท้องผูก และอาหารไม่ย่อยช่วยรักษาและป้องกันโรคหอบหืด และโรคภูมิแพ้ต่างๆ
• รักษาอาการปวดคอ ปวดหลัง และปวดข้อต่างๆ
• ป้องกันโรคเส้นเลือดขอดรักษาอาการหวัด เจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบรักษาโรคไส้เลื่อน
• ต่อมลูกหมากโตรักษาโรคสมรรถภาพทางเพศเสื่อมช่วยบรรเทาอาการโรคหลอดลมอักเสบ
• ป้องกันมดลูกหย่อนยานช่วยบรรเทาอาการปวดท้องก่อนมีรอบเดือนลดการยึดติดของข้อต่างๆ
• รักษาโรคลมชัก และลมบ้าหมูช่วยให้กระดูกสันหลังยืดหยุ่นได้ดีช่วยให้ข้อมือ ขา และข้อเท้าแข็งแรง
• ช่วยให้สมาธิดี ความจำดี อารมณ์สุขุมเยือกเย็นช่วยให้สุขภาพจิตดี ขจัดอาการฟุ้งซ่าน
• ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะช่วยให้ตับทำงานได้ดีช่วยนวดอวัยวะส่วนท้องช่วยบรรเทาอาการเบื่ออาหาร และช่วยล้างพิษช่วยให้ผิวพรรณเปล่ง
ปลั่งสดใส ผิวเนื้อตึงกระชับ ไม่หย่อนยานง่ายช่วยชะลอความชรา และช่วยเสริมสร้างพลังชีวิต

นอกจากผลดีที่จะได้รับดังตัวอย่างข้างต้นแล้ว การฝึกโยคะยังให้ประโยชน์อีกมากต่อสุขภาพจิต และประสิทธิภาพในการทำงานของสมองด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผลดีทั้งปวงที่ร่างกายจะได้รับนั้นย่อมส่งผลต่อศักยภาพการดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วย

ข้อควรปฏิบัติในการฝึกโยคะ

        โยคะอย่างง่ายๆที่เหมาะสำหรับการฝึกทุกๆวัน เพื่อบริหารร่างกายและสร้างพลังแก่สุขภาพนั้นส่วนใหญ่จะเป็น “ท่าอาสนะ” ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ให้ปฏิบัติตามได้ง่ายๆ
         เนื่องจากท่าอาสนะเป็นท่าบริหารที่ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวอันนิ่มนวล เป็นการฝึกเพื่อพัฒนาร่างกายให้เกิดความสมดุลทางสรีระและกล้ามเนื้อต่างๆ การเตรียมตัวและเตรียมสถานที่ให้ถูกต้องและเหมาะสม จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฝึกโยคะประจำวัน
เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกโยคะคือเวลาเช้าแต่เพื่อความสะดวกสำหรับวิถีชีวิตของคนในยุคสมัยนี้ ผู้ฝึกจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเวลาที่กำหนดตายตัวอาจฝึกทุกๆเช้าวันหยุด แต่วันเรียนหรือทำงานก็ฝึกในช่วงค่ำๆก็ได้ (ช่วงบ่ายอากาศร้อนอาจไม่เหมาะกับการฝึก)ความจริงแล้วโยคะแนวใหม่สามารถนำไปประยุกต์เป็นการบริหารร่างกายที่สะดวกและง่ายดายได้ ผู้ฝึกสามารถเล่นโยคะได้ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่โต๊ะทำงาน ที่สาธารณะทั่วไป หรือแม้แต่นั่งหรือยืนอยู่บนรถแต่สำหรับระยะเวลาในการฝึกโยคะแต่ละครั้งนั้น ควรฝึกให้ได้อย่างต่ำ ครั้งละ 30 นาทีสำหรับผู้ที่มีเวลาสามารถฝึกเต็มที่ได้ ครั้งละ 1 ชั่วโมง 30 นาทีหรือถึง 2 ชั่วโมงฝึกโยคะอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือฝึกวันละ 20 - 30 นาที ทุกๆวันก็ได้


เสื้อผ้าชุดที่เหมาะสมจะสวมใส่ในการฝึกโยคะ
          

         คือเสื้อผ้าชุดลำลองที่มีเนื้อผ้านุ่มเบาสบาย มีความหลวมพอประมาณ เช่น เป็นชุดผ้ายืดทั้งตัวเพื่อให้ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างสะดวกสบายที่สุด


 


เมนูสุขภาพสำหรับผู้ฝึกโยคะ

นอกจากการฝึกโยคะเป็นประจำแล้ว การดูแลเรื่องอาหารกการกินก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งในการดูแลสุขภาพปัจจุบันผู้ที่นิยมฝึกโยคะในยุโรปและอเมริกามักจะหันมากินอาหารมังสวิรัติกันมากแต่ถ้าไม่สามารถจะกินผัก ผลไม้ และธัญพืชได้ ก็ไม่เป็นไรเพราะอาหารดีๆที่มีคุณค่าต่อสุขภาพนั้นยังมีอีกมากมาย ถ้าเรารู้จักเลือกสรรและกินให้เป็นอาหารที่จัดมานี้เป็นเมนูสุขภาพ ส่วนใหญ่จึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และจัดเป็นเมนูไดเอตที่เหมาะสำหรับการลดความอ้วน และการควบคุมน้ำหนักอีกด้ว
• ข้าวกล้อง
ข้าวกล้องอุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารนานาชนิด ที่มีคุณค่าสูง ช่วยบำบัดและยังป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงและไม่อ้วนด้วย เราสามารถหุงข้าวกล้องปนกับข้าวอื่นๆ ได้หลายชนิดเพื่อเพิ่มรสชาติและเพิ่มคุณค่า หรืออาจหุงข้าวกล้องกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็ได้
• ต้มๆนึ่งๆ
หลีกเลี่ยงอาหารจานทอดที่เต็มไปด้วยน้ำมัน หันมาเลือดกินแต่อาหารที่ปรุงด้วยวิธีต้มๆนึ่งๆ มารพัดเมนูแกงจืดและต้มยำต่างๆที่ไร้กะทิ กินผักต้ม ผักลวก หรือปลานึ่ง เป็นประจำจะทำให้สุขภาพดีหากต้องการปรุงอาหารจานผัดต่างๆก็ควรใช้น้ำมันแต่น้อย
• งดอาหารแปรรูป
ของหมักดอง อาหารกระป๋อง และอาหารแปรรูปต่างๆเช่น แหนม กุนเชียง ไส้กรอก เบคอน ฯลฯ เหล่านี้ไม่ใช่อาหารสุขภาพควรหลีกเลี่ยงหรือกินแต่น้อยเนื้อสัตว์ติดมันแม้ร่างกายจะต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่เนื้อสัตว์ที่ติดมันก็ทำให้อ้วน และยังเพิ่มโคเลสเตอรอลได้อย่างไม่รู้ตัว
• งดกินเนื้อสัตว์ติดมัน
และลองฝึกนิสัยการกินอาหารให้น้อยลง(ยกเว้นปลา และอาหารทะเล) เพราะความจริงแล้วเนื้อสัตว์นั้นย่อยยาก และเราสามารถได้สารอาหารต่างๆ อย่างครบถ้วนจากธัญพืชต่างๆได้ เช่นกัน  
• ธัญพืชต่างๆ
ข้าวโอ๊ต ขาวสาลี รำข้าว ถั่ว งา ซีเรียล และธัญพืชต่างๆล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุนานาชนิดที่เป็นประโยชน์อย่างสูงต่อร่างกาย จึงควรจัดให้มีอาหารจำพวกธัญพืชบ้างในเมนูแต่ละวัน

ไดเอตจานด่วน ทำอย่างไรให้ได้ผล

ลดน้ำหนัก
ไดเอตจานด่วน ทำอย่างไรให้ได้ผล (Lisa)

          วันนี้เรามี 7 วิธีดี ๆ ในการลดน้ำหนักระยะสั้นมาฝากคุณสาว ๆ กัน ใครอยากหุ่นสวยภายในเวลาไม่นาน ลองไปดูเคล็ดลับกันค่ะ  

1. ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ 

          แน่นอนว่าลด 5 กิโลกรัมในหนึ่งสัปดาห์คงเป็นไปได้ยากมาก แต่เราขอแค่สัปดาห์เดียวที่คุณจะมีเป้าหมายที่เป็นไปได้ เช่น ลดหนึ่งกิโลกรัมหรือครึ่งกิโลกรัม เขียนเป้าหมายไว้ในที่ ๆ คุณจะเห็นได้ชัดเจนทุกวัน

2. เลือกสูตร "ไดเอต" 

          ไม่ว่าคุณจะใช้สูตรไหนก็ตามหรือคิดสูตรเอง ก็ให้ตั้งใจทำตามสูตรนั้นจนแล้วเสร็จ แต่ก็ต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ทำลายสุขภาพของคุณด้วย

3. อยู่ห่างไกลยาลดความอ้วน 

          ในการลดความอ้วนด้วยระยะเวลาอันสั้น ยาลดความอ้วนไม่จำเป็น และอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของคุณก็ได้

4. พกน้ำไว้กับตัว 

          น้ำเป็นยาขนานเอกต่อหน้าท้องย้วย ๆ ค่อย ๆ จิบทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ คุณจะรู้สึกอิ่ม สดชื่น และไม่อยากอาหารจำพวกของหวาน หรือน้ำผลไม้ เพราะคุณไม่กระหายน้ำนั่นเอง

5. ชั่งน้ำหนักทุกวัน 

          ปกติแล้ว การชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละครั้งจะทำให้คุณคอยเช็คน้ำหนักได้อย่างไม่เสียสุขภาพจิต แต่ในการลดน้ำหนักระยะสั้น คุณอาจจะอยากควบคุมน้ำหนักอยู่เสมอ ๆ

6. เดินหลังอาหาร 

          ทุก ๆ มื้อหลังจากกินเสร็จ ให้ใช้เวลาเดิน 5 นาทีเป็นอย่างน้อย เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร

7. นอนให้นานขึ้น 

          เข้านอนเร็วกว่าปกติ 30 นาที และตื่นสายกว่าปกติอีก 30 นาที จะทำให้คุณสดชื่นขึ้น ไม่รู้สึกอ่อนเพลียจนต้องทดแทนด้วยอาหาร

แหล่งอ้างอิง
ดวงตา
เคล็ดลับการถนอมดวงตาให้สวยสดใส (e-magazine)

          สภาพผิวรอบดวงตามีผลต่อความงามของใบหน้าเป็นอย่างมาก และบ่งบอกสภาพของสุขภาพได้อย่างเด่นชัด เพราะคนที่มีสุขภาพดี พักผ่อนเพียงพอมักมีผิวรอบดวงตาเต่งตึง ไม่มีร่องรอยลึก หมองคล้ำ คนที่ไม่ค่อยถนอมดวงตาอาจจะมองข้ามละเลยการดูแลดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวรอบดวงตาไม่เปล่งปลั่ง ลูกตาขาวไม่สดใส เรามาเริ่มต้นใส่ใจดวงตากันตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณดูอ่อนวัยได้อีกมากเลยทีเดียว

 พักสายตาที่อ่อนล้า

          คนที่จ้องอะไรนาน ๆ เช่น ดูโทรทัศน์ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ จะรู้สึกว่าดวงตาแห้ง กล้ามเนื้อรอบดวงตาล้า และอาจมีอาการบวมเกิดขึ้นได้ ควรหยุดพักสายตาเป็นระยะ ๆ ประมาณ 10-15 นาที ทุก 2-3 ชั่วโมง ด้วยการปลดปล่อยตาไปไกล ๆ และหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ พยายามกะพริบตาบ่อยๆ  เพราะการกะพริบตาเท่ากับเป็นการบริหารดวงตา

 รักษาความสะอาดให้หมดจด

          การแต่งหน้าเป็นเรื่องคู่ความงามสำหรับผู้หญิง ควรเลือกใช้อายแชโดว์ และมาสคาร่าที่แน่ใจแล้วว่าไม่แพ้ เมื่อเราแต่งหน้าก็ต้องหมั่นชำระล้างเครื่องสำอางให้สะอาดหมดจด อย่าให้มีเครื่องสำอางตกค้าง ทุกครั้งที่ใช้มาสคาร่าควรเช็ดออกด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา หรือปิโตรเลียมเจล ซึ่งนอกจากจะชำระได้หมดจดแล้ว ยังเป็นการบำรุงขนตาให้แข็งแรงไปในตัวด้วย

 หากตาคู่สวยต้องเผชิญมลพิษ

          เมื่อเกิดความระคายเคืองดวงตาจากฝุ่นผงควร ใช้วิธีล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำยาล้างตา โดยกรอกตาไปมาในน้ำ ไม่ควรขยี้ตา หรือใช้ยาหยอดตาบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น กรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาอย่าไปหยิบยืมใคร เพราะอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย และเมื่อเปิดใช้แล้วให้ปิดฝาให้สนิท ยาหยอดตาที่เปิดใช้แล้วมีอายุไม่เกิน 1 เดือน เพราะอาจเกิดการปนเปื้อนได้


อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารบำรุงสายตา

          การเลือกทานอาหารก็มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาได้ด้วยเช่นกัน วัตถุดิบบางอย่างที่ใช้ในการปรุงอาหารนั้นมีคุณประโยชน์ต่อสายตาอยู่มาก บางอย่างเราอาจจะพอรู้ แต่ก็มีบางอย่างที่เรายังไม่รู้ เพราะฉะนั้นแล้วมาอ่านดูว่ามีอาหารและวัตถุดิบใดบ้าง ที่จะช่วยบำรุงดวงตาของเราคู่นี้ให้ดีและสวยสดใสไปอีกนาน

           บลูเบอร์รี ผลไม้ที่ดีต่อสายตามาก ๆ และหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอรรี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

           มันเทศ ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

           หอมแดง เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

           ปลา กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

           ผักใบเขียว กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอินและซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจก และยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย (คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยนะ)

           ผักบีทสด ๆ เป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

           ผักโขม กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

           ส้ม มะเขือเทศ พริกหวาน สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา


อาหารบำรุงดวงตา

           กะหล่ำปลีสีเขียวเข้ม ผักโขม หัวผักกาดเขียว และบรอกโคลีนั้ มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน

           ถั่วสีน้ำตาลแดง เพียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา

           อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่าง ๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น

           โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยนั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่าง ๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์

           อาหารที่อุดมด้วยซัลเฟอร์ (Sulfur) เช่น ไข่ กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง ช่วยบำรุงสายตา และรักษาสายตาให้เป็นปกติ

           กรดไขมันโอเมก้า-3 และ 6 ช่วยป้องกันตาแห้ง พบในน้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันปลา เป็นต้น

           กะเพรา ประกอบด้วยสารอาหารหลายชนิด  เช่น วิตามินซี ฟอสฟอรัส เหล็ก แคลเซื่ยม รวมทั้งเบต้าโรทีนสูงด้วย ซึ่งสารนี้จะช่วยเปลื่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายของคนเรา จึงช่วยบํารุงสายตาได้อย่างดี

           ขี้เหล็ก ดอกตูมและใบอ่อนนิยมใช้เป็นอาหาร เช่น แกงขี้เหล็ก และลวกเป็นผักจิ้มในใบขี้เหล็กมีเบต้าแคโรทีนสุง นอกจากช่วยบํารุงสายตาแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ

           แครอท มีเบต้าแคโรทีนสูง จึงเป็นประโยชน์ต่อสายตาโรคเฉพาะโรคตาฟาง

           ไข่แดง มีลูทีนและซีแซนทีนที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี


          เมื่อดวงตาคืออวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เราก็ต้องไม่ปล่อยให้ดวงตาเสื่อมสภาพไปก่อนวัย หากเรารู้จักวิธีการบำรุงสายตาแล้ว ควรจะหมั่นดูแลเป็นพิเศษและสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยให้สายตาของคุณนั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลา

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สรุปบทเรียนวันที่  24  มิถุนายน   2556

เรื่องเซล์เซลล์มีอยุ่ด้วยกันหลายรูปแบบคะอย่างเช่นเซลล์ที่ครูไหมเคยทดลองคือเซลล์ว่านกาบหอยและเซลล์จากกระพุ้งแก้มจากการที่ได้ส่องกล้องจากจุลทรรศน์ทำให้เราได้รู้ว่าสิ่งเล็กเพียงน้อยนิดทำให้เกิดเป็นได้เซล์ได้เยอะมากกว่าที่คิดค่ะและสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นครั้งแรกคือพืชโอปารินได้ตั้งสมมติฐานการทำการทดลองกำเนิดชีวิตความเหมือนและความต่างของสิ่งมีชีวิตใช้โดยโมเลกุลแบบเดียวกันคือ DNA เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมค่ะรูปร่างของเซลล์จะเป็นแบบไหนขึ้นอยุ่กับขนาดของเซลล์และเซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตเพราะเป็นหน่วยย่อยของชีวิต


การค้นพบเซลล์สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น ในปี ค.ศ. 1655 โดย นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ โรเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) ได้ใช้กล้องจุลทรรศน์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นสังเกตโครงสร้างเล็กๆ ของไม้คอร์ก (cork) ที่ถูกเฉือนเป็นแผ่นบางๆ พบว่ามีลักษณะเป็นห้องเล็กๆ คล้ายรังผึ้ง เขาได้เรียกห้องเล็กๆเหล่านี้ว่าเซลล์ ซึ่งการศึกษาเซลล์ไม้คอร์กของโรเบิร์ต ฮุค ในครั้งนั้นเป็นการค้นพบเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเป็นครั้งแรก แต่เป็นเซลล์ที่ตายแล้วคงเหลือแต่ส่วนของผนังเซลล์ (cell wall) เท่านั้น
 กล้องจุลทรรศน์ของโรเบิร์ต ฮุค      และ        เซลล์ไม้คอร์กที่ตายแล้ว 
ต่อมาในปี ค.ศ. 1674 -1683 อังตวน แวน เลเวนฮุค (Anton Van Leeuwenhoek)นักวิทยาศาสตร์ชาวดัทช์ (Dutch) ได้พัฒนากล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายกว่า 200 เท่าและใช้ในการสังเกตสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กรูปร่างๆ แตกต่างกัน ได้แก่ โปรโทซัว (protozoa) แบคทีเรีย (bacteria) และสเปิร์ม (sperm) การค้นพบในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการค้นพบเซลล์ จุลินทรีย์เป็นครั้งแรก
 อันตวน แวน เลเวนฮุค         และ       กล้องจุลทรรศน์ของเลเวนฮุค 
หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1830-1839 นักพฤกษศาสตร์ มัตทิอัส ชไลเดน (Matthias Schleiden) และนักสัตววิทยา เทโอดอร์ชวันน์(TheodorSchwann) ได้ศึกษาเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ชนิดต่างๆรวมทั้งศึกษาบทบาทของนิวเคลียส (nucleus)ภายในเซลล์ต่อการแบ่งเซลล์ชไลเดนและชวันน์ได้รวบรวมความรู้ที่ได้ และจัดตั้งเป็นทฤษฎีเซลล์ (TheCellTheory)โดยมีใจความที่สำคัญดังนี้
1. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์
2. เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
3. เซลล์เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ที่มีอยู่ก่อน
หลังการจัดตั้งทฤษฎีเซลล์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในรุ่นต่อมาได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับองค์ประกอบ ภายในเซลล์และหน้าที่ ขององค์ประกอบเหล่านี้มากขึ้นซึ่งทำให้เกิดความรู้ใหม่ที่ลึกซึ้งและ เป็นประโยชน์อย่างมากมายในปัจจุบัน
 มัตทิอัส ชไลเดน                    และ              ทีโอดอร์ ชวันน์